การเปลี่ยนแปลงหลังตาย
1. ทันทีหลังตาย ศพจะอ่อนตัวลง
2. ศพทีเสียชีวิตใหม่ยังรู้สึกอุ่นและจะเริ่มเย็นลงเรื่อย ๆ จนเท่าสิ่งแวดล้อมภายนอก (1°F / hr) (rectum ทิ้งไว 5 นาที ) คนปกติ 37 °cหรือ98.6 °F ยกเว้น ในรายต่อไปนี้อุณหภูมิจะสูงกว่าปกติราว 1-2 °F ได้แก่พวกที่ตายจากการมีเลือดออกในสมอง, Asphyxia death, Acute infection เช่นTyphoid, Strychnine poisoning ในบางรายผู้ป่วยอาจมีอุณหภูมิลดลงกว่าปกติก่อนตาย เช่น พวกที่ผอมแห้งมากๆ(Phthisis),มะเร็ง,Collapseฉะนั้นจึงเป็นการยากที่จะบอกเวลาตายที่แน่นอนได้
ทั้งนี้เพราะขึ้นอยู่กับ สภาพแวดล้อมด้วย เช่น ศพที่เปลือยหรือแช่ในน้ำย่อมเย็นลงเร็วกว่าปกติ
3. Rigor Mortis หลังตาย ATP ในกล้ามเนื้อจะลดลงจนหมดไป
· 2 hr ขากรรไกรแข็ง
· 1-4 hr คอ ลําตัว แขน ขา
· เกิน 6-9 hr แข็งเต็มที่และจะมีการ
· เกิน 12 hr แข็งตัวทุกส่วน
· 18 hr ต่อไปกล้ามเนื้อจะคลายตัวลง ร้อนหรือคลายตัวของกล้ามเนื้อ (Flaccid) ก็เป็นตามลําดับเช่นเดียวกับการแข็งตัว ระยะเวลาที่กล้ามเนื้อทุกแห่งอ่อนตัวกินเวลาประมาณ 12hr ดังนั้น การอ่อนตัวครั้งที่ 2 จะพบหลังตายประมาณ 36-48 hr
กล้ามเนื้อภายในเช่นกล้ามเนืื้อหัวใจ กล้ามเนื้อกระบังลมก็แข็งตัวได้การแข็งตัวจะเกิดหลังตายแล้ว 30 min ถึง 2 hr
ระยะเวลาอาจเกิดเร็วขึ้นได้ในรายที่ออกกำลังมากก่อนตายหรือมีไข้สูงก่อนตาย ในศพแช่เย็นจะเกิดช้าและอยู่นานกว่าอากาศร้อน
การแข็งตัวของศพหลังตายนี้ ต้องแยกจากภาวะการแข็งตัวของศพทีเกิดจากเหตุอื่นคือ
ก. การแข็งตัวของศพเนื่องจากถูกความร้อน (Heat stiffening) เช่น ถูกไฟไหม้ โปรตีนของกล้ามเนื้อจะเกิดแข็งตัว
ข. การแข็งตัวของศพเนื่องจากถูกความเย็น (Cool stiffening) ไขมันใต้
ผิวหนังจะแข็งตัวเป็นขี้ผึ้งแข็ง พบได้ชัดในศพเด็กหรือศพคนอวนที่เก็บในตู้เย็นจัด
ค. การเกร็งตัวของกล้ามเนื้อทันทีหลังตาย (cadaveric spasm) เป็นกรณีทีพบได้น้อยมาก จะพบเฉพาะบางศพและจะเกิดได้ต้องประกอบด้วย3 องค์ประกอบ คือ
1. สมองต้องตายทันทีและถูกทําลาย
2. ต้องมีการใช้กล้ามเนื้อกลุมที่สมองที่ตายทันทีนั้นควบคุมอยู่ ในขณะนั้น
3. ต้องมีความเคร่งเครียดหรือเจ็บปวดอย่างรุนแรง ตัวอย่างเช่น คนยิงตัวตายโดยจอยิงทีขมับ ผู้ยิงเอามือกำปืน สอดนิ้วเข้าในโกร่งไก งอแขน ยกปืนจอขมับ งอนิ้ว เหนี่ยวไกปืน กระสุนแล่นออกทะลุทะลวงถูกศูนย์1,3ในสมอง ซึ่งจะตายทันที Cadaveric spasm ที่เกิดขึ้นและมองเห็นก็คือ บุคคลนั้นจะอยู่ในท่างอแขน และกำมือ
5. Livor mortis เป็นรอยจ้ำสีชมพูที่ตกอยู่ทางสวนล่างของศพ เนื่องจากแรงดึงดูดของโลก บางรายช่วยชี้สภาพของศพได้เช่น ศพที่แขวนคอตายจะพบ suggillation ชัดที่ส่วนล่างของร่างกาย, บางรายช่วยให้รู้วา มีการเคลื่อนยายศพหลังตายหรือไม่
โดยปกติ ไลวอร์มอร์ตีส จะเริ่มปรากฎหลังตายประมาณ 1 -2 ชั่วโมง (ซึ่งถ้าไม่สังเกตอาจไม่เห็น) และเพิ่มขื้นเห็นชัดเจนทั่วไปใน 12 ชั่วโมง (ยกเว้นพวกที่โลหิตจางจะเกิดช้ากว่านี้) ไลวอร์มอร์ตีสทีมีสีชมพูสดพบได้ในรายที่ตายจากพิษ
คาร์บอนโมนอกไซด์ ไซยาไนด์ สีของไลวอร์มอร์ตีสจะเปลี่ยนเมื่อศพเริ่มเน่า ในศพที่ยังไม่เน่าเราพอแยกได้ว่าเป็นSuggillation หรือ antemortem contusion บริเวณที่เกิดไลวอร์มอร์ตีสนี้ ถ้าหากมีบางสวนทีกดทับอยูทำให้ผิวหนังสวนนันบ๋มเข้าไปสวนนันจะเป็นสีขาว เพราะเมดเลือดจะกระจายไปอยูในสวนทีต่ำกว่า
ตัวอย่างเช่น รอยกดจากเสื้อยกทรง รอยเข็มขัด ไลวอร์มอร์ตีสทีมีสีเทาคลํา มักพบในรายที่ตายจากการขาดอากาศ
ไลวอร์มอร์ตีสยังเกิดที่อวัยวะภายในด้วย
6. การเนาของศพ ถ้าไม่มีการรักษาศพโดยวิธีการต่าง ๆ แล้ว ส่วนใหญ่ศพจะเน่าโดย
ก. ระยะแรกหลังเซลล์ตายจะเกิดการสลายตัว
ข. ระยะสอง จากแบคทีเรียจากลําไส้เข้าในอวัยวะต่าง ๆ การเปลี่ยนแปลงที่เห็นก่อน คือ ผนังหน้าท้องส่วนล่างมีสีม่วงปนเขียวประมาณ 24 ชั่วโมง หลังตายศพจะเริ่มเน่าเห็นได้ชัด ถ้าอากาศร้อนจะเน่าเร็วกว่านี้ ผิวหนังเริ่มลอกหลังตาย 36-48 ชั่วโมง เมื่อศพเนาเต็มที่จะเกิดแก๊ส ลิ้นจุกปากแขนขากาง ตาถลน ผิวหนังบวมเป่ง อัณฑะบวม หลังตาย 72 ชั่วโมงจะเนาเต็มทีมีกลิ่นเหม็นมาก น้ำเหลืองเยิ่ม (หลังศพเน่าเต็มทีแล้วเราจะประมาณเวลาตายได้ยากทั้งนี้เพราะเกี่ยวข้องกับอุณหภูมิและความชื้นของอากาศด้วย) ลําดับการเน่าของศพก่อนหลังดังนี้ เริมด้วยลําไส้เริ่มกอนเพราะมีแบคทีเรียมาก เนื้อสมองจะเละ ปอดนุ่มมีนํ้าเต็ม ตับจะพรุนเนื่องจากผลการสลายตัวทําให้เกิดแก๊ส ม้ามนุ่มเปือย อวัยวะที่เน่าช้า ได้แก่ มดลูก, ต่อมลูกหมาก
· หลังตาย 2-3 สัปดาห์ พวก Abdominal viscera จะเหลวเละกลายเป็นของเหลว
· จะเหลือแต่กระดูกใน 2-3 เดือนต่อมา
· กินเวลาหลายปี ที่กระดูกจะผุหมด
การเน่าของศพจะเร็วช้าขึ้นอยู่กับอุณหภูมิของอากาศด้วย ถ้าร้อนก็ทำให้เน่าเร็ว ศพคนอวนมีไขมัน มากเน่าเร็วกว่ศพคนผอม, ศพเด็กเน่าเร็วกว่าศพผูใหญ่ ศพที่ตายจากโรคติดเชื้อเน่าเร็ว, ศพบนดินเน่าเร็วกว่าศพที่ถูกฝังลึก ๆใต้ดิน, ศพทีโรยปูนขาวไว้เน่าช้ากว่าที่ไม่ได้โรย ฉะนั้นการคาดคะเนเวลาตายให้แน่นอนสำหรับศพที่เน่าแล้วจึงทําให้ยาก ทั้งนี้เพราะเกี่ยวข้องกับ สิ่งแวดล้อมนั้น ๆ ดังกล่าวแล้วเป็นต้น มีส่วนน้อยมากที่ศพไม่เนาตามธรรมชาติ ได้แก่
1. ศพแห้งไปเฉย ๆ เรียก Mummification เกิดจากอากาศร้อนและแห้งมาก มีความพอเหมาะพอดีระหวางสภาพศพกับ สิ่งแวดล้อม เป็นศพของคนผอม ไม่มีไขมัน, อยู่ในสภาพทีแบคทีเรียเจริญได้ยาก สภาพศพคล้ายมัมมีพบได้น้อย แบบนี้ยากทีจะ ประมาณเวลาตายได้แน่นอน
2. การแข็งตัวของไขมัน (Adipocere) โดยปกติศพที่เน่าแล้วไขมันจะแข็งตัวเป็นขี้ผงสีขาวร่วน พบในศพที่ฝังใน ที่อากาศชื้นและมีอุณหภูมิค่อนข้างเย็น ในเมืองไทยยังไม่เคยพบแบบหลังนี้
7. เราอาจประมาณเวลาตายจากการทํางานของอวัยวะบางระบบได้ เช่น
ก. กระเพาะอาหาร ตรวจพบมีอาหารเต็มในกระเพาะโดยสภาพอาหารยังไม่เปลี่ยน บอกได้ว่าเวลาตายจะ ใกล้เคียงกับระยะเวลาอาหารมื้อสุดท้าย อาหารผสมปกติจะย้อยหมดใน 2-8ชั่วโมง
ข. กระเพาะปัสสาวะ ผ่าตรวจพบว่าไม่มีปัสสาวะเลยแสดงว่าผู้ตายตายภายหลังถ่ายปัสสาวะครั้งสุดท้ายไม่นาน ถ้าตายตอนกลางคืนก็น่าจะเป็นตอนหัวคํา เพราะคนปกติมักจะถ่ายปัสสาวะก่อนเข้านอน เป็นต้น
สรุป ในการตัดสินเวลาตายนั้นต้องอาศัยหลักต่าง ๆ มาประกอบการพิจารณา รวมทั้งต้องคํานึงถึงสภาพแวดล้อมอื่น ๆ